สรุปสั้น ๆ ทำไม Honda Brio ถึงไม่รุ่งอย่างที่คิด





Honda Brio เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2011 หมายจะถล่ม Nissan March อีโคคาร์เจ้าตลาดในสมัยนั้นให้ราบคาบ ด้วยชื่อชั้นและดีไซน์ตัวรถที่ดูสปอร์ตกว่า ทำให้ Honda ถึงขั้นตั้งเป้ายอดขาย Brio ในปี 2011 ราว 40,000 คัน หรือตกเดือนละ 5,000 คัน นับตั้งแต่ส่งมอบรถครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2011 และภายใน 5 ปียอดขาย Brio จะต้องมี 100,000 คัน

Honda คาดหวังกับความสำเร็จของ Brio เป็นอย่างมาก ด้วยความพร้อมบางประการ อาทิ แบรนด์ที่ดูมีภาพลักษณ์สดใส และมอบอรรถรสความสนุกสนานในการขับขี่ ที่เหนือกว่าแบรนด์ Nissan ที่ยังเป็นแบรนด์กลาง ๆ ไม่มีจุดเด่นอะไรนัก, การมีเวลาศึกษากลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์ของ Nissan March นานถึง 1 ปี

รวมถึงการอัดอุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าและระบบเบรก ABS ในทุกรุ่น ยังไม่พอ Honda ยังจัดเต็มด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร 90 แรงม้า สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 และประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร มีทั้งแบบธรรมดาและ อัตโนมัติ CVT เรียกได้ว่าจุดขายทั้งสองอย่างก็เหนือกว่า Nissan เป็นไหน ๆ เพราะ March ติดตั้งถุงลมและเบรก ABS ให้แค่เพียงบางรุ่นเท่านั้น แถมกำลังเครื่องยนต์ยังมีเพียงแค่ 79 แรงม้าเท่านั้น



ในสมัยนั้น Honda ตั้งราคา Brio ไว้ 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น S เกียร์ธรรมดา 399,900 บาท รุ่น V เกียร์ธรรมดา 469,500 บาท รุ่น V เกียร์อัตโนมัติ CVT 508,500 บาท ถ้ามองเผิน ๆ ถือว่าราคาถูกได้ใจสำหรับคนที่อยากจะใช้รถ Honda

แต่กาลเวลาก็กลับพิสูจน์อะไรบางอย่างแล้วว่าการพัฒนารถเล็กราคาถูกสำหรับตลาดเมืองไทย ไม่ได้หวานหมูขนาดนั้น

และนับจากนี้ไปเป็นบทวิเคราะห์ที่รวบรวมจากข้อมูลข่าวสาร และพฤติกรรมลูกค้าที่ผ่านการเก็บสำรวจจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ หากมีข้อผิดพลาดหรือข้อข้องใจ ต้องขออภัยล่วงหน้าครับ



1.กลุ่มลูกค้าที่คิดจะซื้ออีโคคาร์ในยุคนั้น เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาเป็นอย่างมาก ถ้าหากมีรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่มอบความคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มามากที่สุด ผู้นั้นก็จะชนะในเกมส์ ในกรณีนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ขอเลือกเทียบ Honda Brio รุ่น V CVT ราคา 508,500 บาท กับ Nissan March รุ่น E CVT มีราคา 459,000 บาท ซึ่ง Brio แพงกว่า March ราว 49,000 บาท ถือว่าแพงในความรู้สึกของลูกค้า โดยราคาส่วนต่างนี้จะมีผลต่ออัตราผ่อนเดือนละประมาณ 500 บาท

บางคนอาจมองว่าส่วนต่างการผ่อนเพียงแค่เดือนละ 500-600 บาท ไม่ได้หนักหนาสาหัสเลย แต่ถ้ามองให้ลึกถึงกลุ่มเป้าหมายอีโคคาร์เฟสแรกที่หมายมั่นปั่นมือจับกลุ่มลูกค้ารถจักรยานยนต์ไปสู่การขับขี่รถยนต์ ที่มีฐานเงินเดือนระหว่าง 15,000 – 20,000 บาท ส่วนต่างอัตราผ่อนระดับนี้ มีผลเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะเงิน 500 บาท ก็ยังมีค่าและมีประโยชน์ต่อครอบครัวและตนเองอยู่พอสมควร

2. ตัวรถ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ Honda Brio จนลดทอนคะแนนความคุ้มค่าอีกระดับ และยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan March แล้ว ขนาดตัวรถก็ยังเล็กกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะ Brio มีความยาวแค่เพียง 3,610 มิลลิเมตร กว้าง 1,680 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,345 มิลลิเมตร ขณะที่ Nissan March มีความยาว 3,780 มิลลิเมตร กว้าง 1,660 มิลลิเมตร สูง 1,515 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร ถือว่า March มีความยาวกว่า Brio ระดับหนึ่ง และเมื่อเทียบกับรถคันจริงก็พบว่า March ก็มีมิติที่กะด้วยสายตาใหญ่กว่า Brio อีกด้วย

สิ่งที่ได้เปรียบของ Brio ที่เหนือกว่า March ก็คือ การออกแบบเบาะและตำแหน่งเบาะนั่งที่นั่งสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อการเรียกศรัทธาลูกค้าได้ ยิ่งเมื่อตัวรถสั้นกว่าคู่แข่ง ก็ยิ่งลดทอนเนื้อที่ห้องสัมภาระให้เล็กแคบลง และจุดตำหนิครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้หลายคนส่ายหน้าคือ การออกแบบฝากระโปรงท้ายแบบกระจกทั้งบาน โดย Honda ได้ออกแบบโครงสร้างทางเข้าห้องสัมภาระให้ดูแน่นหนากว่ารถ Hatchback ทั่วไป เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยความรู้สึกไม่มั่นใจของลูกค้าได้เลย

จุดตำหนิที่หลายคนสงสัยอีกประการนั่นก็คือ การไม่ติดตั้งใบปัดน้ำฝนบานกระจกท้าย ก็อาจจะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงเมื่อเผชิญกับฟ้าฝนไม่เป็นใจและการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่ปล่อยให้เห็นชิ้นส่วนโลหะตัวถังเปลือยบางส่วน

3.ปัจจัยเสริมสำคัญอีกประการที่ทำให้ ไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์หลังรถเปิดตัวได้เลยนั่นก็คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น เดือนมีนาคมปี 2011 ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญ ที่ประเทศไทยยังจำเป็นต้องนำเข้าจากญี่ปุ่น ทำให้ Honda ผลิต Brio ได้จำนวนจำกัดจนถึงเดือนกันยายน 2011

ณ วันนี้ อนาคตของ All NEW Honda Brio คงมืดมน เพราะลูกค้า Honda ส่วนใหญ่ยังคงยินดีที่จะซื้อ Jazz และ City มากกว่า จนทำให้ Honda ต้องจับ All NEW Jazz และ City มาเข้าโครงการอีโคคาร์เฟส 2 แทน

Back to top button